Custom Search

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไตเสื่อม มี 2 ประเภท ไตหยิน และ ไตหยาง

ส่วนอีกลักษณะคือ ไตหยิน หรือ ไตคลาย
- เฉื่อยชา เกียจคร้าน
- ความต้องการทางเพศต่ำลง
- ปวดเมื่อหลัง เอว
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางคืน
- นอนตื่นสาย ไม่อยากตื่น
- อารมณ์อ่อนไหวง่าย
- ขี้หูมาก
- เหงื่อออกเยอะผิดปกติ ตามปกติแล้ว กลางคืน
ไตซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำ หรือ "หยิน" จะทำงานมากกว่ากลางวัน(สังเกตว่าตื่นเช้าเราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับแรก)ดังนั้น เมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย "หยิน" ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิด เช่น ขี้เกียจอยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียวขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น)

การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่มปัจจัยหยินได้แก่
- การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัย รวมทั้ง น้ำแข็ง ไอศกรีม หวานเย็นและอาหารลักษณะนี้
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
- การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
- การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวัน ควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้าง หรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต (ควรเป็นผ้าธรรมชาติ เช่น คอตตอน) และ หาโอกาสออกกำลังกายกลางแจ้งบ้างสำหรับคนนอนห้องแอร์ ควรสวมเสื้อผ้า ห่มผ้าให้อบอุ่น
- การนั่งรถนานๆ โดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น
- นอนไม่เป็นเวลา ทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อย หรือนอนผิดเวลา สำหรับคนที่นอน และ ทำงานผิดเวลาตามหลักวงจรธรรมชาตินั้น กลางวัน คือ เวลาสำหรับ ทำงาน เรียนหนังสือกลางคืน คือ สำหรับพักผ่อน นอนหลับ(หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง)การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้น จะส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย และจิตใจอย่างแน่นอน แม้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่นั่นเพราะ ตัวคุณมี "ทุน" ที่ยังค้ำยันอยู่ แต่ ทุนจะหมดเพราะการใช้ชีวิตที่ผิด

อาหารที่ควรเลือกรับประทานเป็นหลัก ได้แก่
1. ข้าวกล้อง
2. สาหร่ายทะเล
3. ถั่วแดง ผักสด ผลไม้ไม่หวานและ น้ำน้อย
4. เต้าเจี้ยว

หลีกเลี่ยง การใช้ชีวิต ดังนี้
1. การใส่รองเท้าส้นสูง
2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็ง หรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ (เก้าอี้ หรือ เตียง ดีไซน์เก๋ๆ ที่นิยมกันในหมู่คนรุ่นใหม่) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็ง ไม่นุ่ม กำลังดี อย่างที่นอนใยมะพร้าว

การใช้ชีวิตที่ควรปรับเพิ่ม
1. พยายามอย่านั่งหลังงอ
2. อย่านั่งนานๆ หรือ อย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ นึกขึ้นได้ให้ขยับตัว เคลื่อนไหว เปลี่ยนอิริยาบถ ....


อาการไตหยาง หรือ ไตหดตัวแน่น
- นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ
- นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย
- อสุจิเคลื่อนตอนนอน
- เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ โดยมีสาเหตุมาจาก
1.กินรสเค็มจัด หรือ เนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือ พวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อยๆ
2.การทำงาน หรือ การใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ
3.การนั่งทำงานหรือ นั่งรถนาน

ป้ายกำกับ: ,

การแก้ไขโรคไตเสื่อม

การแก้ไขง่ายสุด คือ ปรับพฤติกรรมตัวเอง ทั้ง การนอน การกิน การอยู่ หนึ่งวันมี 24 ชม.
ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง
- ทำงาน 8 ชั่วโมง
- ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยว พักผ่อน ดูทีวี สรรทนาการ ออกกำลังกาย)
- นอน 8 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ผมมีข้อแนะนำ ดังนี้ครับ
1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย: แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดีแต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุล จึงไม่แนะนำให้เล่นต่อ เพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้น อยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ชำนาญซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ (ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับ จะเสียมากกว่าได้)การฝึกโยคะ ไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายในร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ แต่ต้องฝึกอย่างมีวินัย และมีสมาธินอกจากนี้ หากมีฝึก ชี่กง ควบคู่ไปด้วย จะเห็นผลดี และเร็วขึ้นหากรู้สึกว่ายากหรือห่างตัวเกินไป ก็ให้เลือกการว่ายน้ำ โดยว่ายอย่างเบาๆ แต่ต่อเนื่อง ในเวลาที่พอสมควร (เหนื่อยให้หยุดพัก ห้ามฝืนต่อ) คุณไม่ได้ไปแข่งกับใคร คุณกำลังบำบัดตัวเอง
2. ปรับอาหาร: งดเนื้อสัตว์ย่อยยาก วัว หมู ไก่ เป็ด ของเผ็ดของเย็น (ไอศกรีม น้ำแข็ง) ของมัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสด ที่ปรุงน้อย (เช่นสลัด)มากขึ้นทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพด ข้าวกล้อง ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ(ห้ามดื่มน้ำเย็น) และงดเครื่องดื่มของมึนเมา น้ำอัดลม นมน้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง)
3. อยู่ห้องแอร์ให้น้อยลง อยู่หน้าจอคอม จอโทรทัศน์ให้น้อยลง:หาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น(เดินเท้า เปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก)
จะเห็นว่าที่แนะนำไป ดูเบสิคมากเลยใช่มั้ยครับ แต่ทำยากมากเลยนี่ล่ะครับ ผมถึงบอกว่าคนในยุคนี้ป่วยกันมากขึ้น เพราะมีพฤติกรรมทำลายวงจรธรรมชาติของตัวเอง อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าพฤติกรรม หรือความรู้สึก ล้วนสัมพันธ์กับไตไตเหมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของมนุษย์ เป็นผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาล แต่ก็เปราะบางยิ่งนัก และง่ายต่อการแตกร้าววิธีการดูแลรักษาไม่ยากสำหรับคนในยุคก่อน แต่ยากยิ่งสำหรับคนยุคนี้ นั่นคือ "คล้อยตามธรรมชาติ" คนสมัยก่อน ตื่นเช้า นอนแต่หัวค่ำ ทานอาหารสดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯในขณะที่คนยุคนี้ นอนดึกเป็นกิจวัตร (ทำงาน, ดูบอล, ดูโทรทัศน์,เที่ยวกลางคืน) ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลมพึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินความจำเป็น ฯลฯ

ป้ายกำกับ:

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โรคไตเสื่อม

อย่าเข้าใจว่า ขอบตาดำ เกิดจากนอนน้อย นอนดึก เท่านั้น ร่างกายจะมีสัญญาณบอกความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นเสมอแต่เราไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่า ร่างกายต้องการบอกอะไร คนที่ขอบตาดำ พึงระวังไว้ครับ ว่าร่างกายกำลังเตือนว่าไตกำลังจะเสื่อม! ไม่ว่าอายุแค่ไหน หนุ่มสาว หรือ แก่ชราล้วนมีสิทธิไตเสื่อมด้วยกันทั้งนั้น ผมพูดถึงไตเสื่อมนะครับ ไม่ใช่โรคไต

ไตทำหน้าที่กรองของเสียในร่างกายซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆ อย่างของไตจึงสรุปสั้นๆว่า ไตเปรียบเหมือน GM หรือ ผจก. ของร่างกายคนยุคปัจจุบัน ทำร้ายไตตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่ากินอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป (เค็ม-มัน-เผ็ดมาก ฟาสฟู้ด-อาหารสำเร็จรูป–แช่แข็ง-อาหารอุตสาหกรรม ฯลฯ) ร่างกายเสียสมดุล อีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้องนอนน้อยเกิน นอนมากเกิน นอนไม่เป็นเวลา ไม่ออกกำลังกาย(รวมถึงออกกำลังไม่เหมาะกับสภาพร่างกายตัวเอง)เครียดมาก กดดันมาก รีบเร่งมาก ฯลฯ
คนยุคปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะไตเสื่อมมากขึ้นและให้สังเกตร่างกายตัวเองดังต่อไปนี้
1. อ่อนเพลียบ่อย ขาดความกระตือรือร้น
2. นอนไม่ค่อยหลับ หรือ หลับไม่สนิท
3. ปัสสาวะบ่อย หรือ กะปริดกะปรอย
4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม ขี้วิตกกังวล
7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8. ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย
จริงๆมีเยอะกว่านี้ เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการแบบนี้ทั้งหมด แต่โดยรวมแล้วมีปรากฏให้เห็นกับตัวเอง

อะไรบ้างที่ทำให้ไตเราเสื่อม
1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล: น้อยไปไม่พอ ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ
2. เพศสัมพันธ์: มีเพศสัมพันธ์มากเกินควร และหลั่งอสุจิมากเกินควร ทำให้ร่างกายเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ และไตจะอ่อนแอลง
3. การทานยารักษาโรคนานๆ หรือปริมาณที่มาก: ทั้งยาแก้ปวดยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหายแต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่ยังมีอีกเยอะครับ แต่แค่นี้คงครอบคลุมแล้วลองดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีอาการตามที่ว่าหรือไม่
แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/whiteleelawadee

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แอ๊ปเปิ้ลช่วยให้ฟันขาวได้

แอ็ปเปิ้ลที่กรอบ กรุ๊บๆ นั้น เมื่อคุณเคี้ยวแอ๊ปเปิ้ลนั้น มันจะทำหน้าที่เหมือนแปรงสีฟันเลยทีเดียว มันความสะอาดตามธรรมชาติโดยกำจัดคราบหินปูนสกปรกออก
นักทันตแพทย์ของรัฐนิวยอร์คได้กล่าวว่า “แอ๊ปเปิ้ลนั้นมีกรด gentle malic ที่สามารถช่วยละลายคราบหินปูนได้”

แปลบทความจาก : นิตยสารพรีเวนชั่น
โดย : KT

ป้ายกำกับ: , , ,

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เสริมเกราะภูมิต้านทานด้วยอาหาร

เวลาไข้หวัดระบาด หลายคนมักเดินตรงไปที่ตู้ยา เพื่อหาสิ่งที่ดีทีจะช่วยบรรเทาอาการหรือช่วยป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่ให้เกิดขึ้น แต่...ห้องครัว อาจจะเป็นที่ที่ทุกๆ คนควรไปมากกว่า การมีโภชนาการที่ดี มีส่วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด การขาดสารอาหารแม้เพียงเล็กน้อยก็จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันนี้ทำงานลดลง ระบบภูมิคุ้มกันที่ว่านี้ประกอบไปด้วยเซลล์ เนื้อเยื่อต่างๆ มากมายที่ทำงานร่วมกัน เพื่อต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่มีโทษต่อร่างกาย แต่ก่อนที่เชื้อโรคต่างๆ จะเข้าไปข้างในร่างกายเราได้จะต้องผ่านด้านนอกก่อน ได้แก่ ผิวหนัง โพรงจมูก ตา ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีส่วนในการกรองเชื้อโรคเป็นด่านแรกๆ ดังนั้นเพื่อให้ระบบนี้ทำงานอย่างราบรื่น ร่างกายของคุณควรจะอยู่ในภาวะที่แข็งแรงที่สุด และการรับประทานอาหารอย่างสมดุลก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรงนี้ได้ เพราะว่าระบบภูมิคุ้มกันนั้นมีความซับซ้อน จึงไม่มีเพียงแค่อาหารชนิดใด ชนิดหนึ่งที่จัดว่าเป็นอาหาร “วิเศษ” การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มีความสมดุลของสารอาหาร เป็นการลงทุนที่ดีที่สุดที่เราจะทำให้กับร่างกายเราได้ * รับประทานผักผลไม้ให้มาก วิตามินเอ วิตามินซี และสารพฤกษเคมีที่อยู่ในสีต่างๆ ของพืชผักผลไม้ ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้เม็ดเลือดขาวแบ่งตัว และสร้างตัวเองให้มากพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียได้ เพื่อให้ได้รับสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ ควรรับประทานผักหลายชนิดและหลากหลายสีให้ได้ครึ่งหนึ่งของจานข้าวในแต่ละมื้อ และรับประทานผลไม้หลังมื้ออาหารหรือระหว่างมื้ออาหารก็ได้ * เลือกอาหารประเภทโปรตีน เพราะกรดอะมิโนในโปรตีน เป็นตัวสร้างเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันด้วย ผู้ที่รับประทานโปรตีนน้อยก็จะส่งผลให้ผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวน้อยตาม แหล่งของโปรตีนที่ดี ได้แก่ ปลา ไก่ไม่ติดหนัง เนื้อล้วน(หมูหรือเนื้อ) ไข่ เต้าหู้ ถั่วเหลืองและถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ * ลดการรับประทานอาหารมันจัด พบว่าอาหารที่มีไขมันสูงทั้งหลายจะลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ไขมันชนิดไม่ดี เช่น ไขมันทรานซ์ จะไปเพิ่มการอักเสบในหลอดเลือด ซึ่งการอักเสบที่เกิดขึ้นนี้มีส่วนทำให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันตายไปด้วยเช่นกัน การเลือกไขมันที่ดี เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดี ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันดีด้วย เนื่องจากเซลล์เหล่านี้อยู่ในกระแสโลหิตนั่นเอง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด ขนมทอดกรอบทั้งหลาย รวมถึงขนมหวานที่มีส่วนประกอบของไขมันสูงด้วย * ดื่มชาเขียว ชาเขียวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่า คาเทชิน(Catechin) นักวิจัยพบว่า สารคาเทชินนี้ สามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อไวรัสบางชนิดได้ และถึงแม้ว่างานวิจัยนี้ จะทำในห้องทดลอง แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าการดื่มชา แทนที่น้ำอัดลม น้ำหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลอื่นๆ จะมีประโยชน์มากในหลายๆด้าน เพื่อให้ได้รับสารคาเทชินมากที่สุด ควรแช่ใบชาในน้ำร้อน อย่างน้อย 3 นาที สำหรับผู้ที่นิยมดื่มกาแฟ อาจลองทดแทนกาแฟ 1 ถ้วย ด้วยชาก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี * กินโยเกิร์ต และต้องเน้นว่าเป็นโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่มีเชื้อจุลินทรีย์เท่านั้น เพราะเชื้อจุลินทรีย์นี้จะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้ เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาจุลินทรีย์ในลำไส้จะช่วยดับพิษและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค นอกจากนี้จุลินทรีย์ในลำไส้ยังสามารถช่วยผลิตและกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยรวมด้วย เลือกซื้อโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวในช่องแช่เย็นเท่านั้นและอ่านฉลากว่ามีเชื้อจุลลินทรีย์อยู่ * หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มรสหวาน พบว่าการรับประทานน้ำตาลมากจะไปลดประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน นักวิจัยรายงานว่าการได้รับน้ำตาล 75-100 กรัม ซึ่งเทียบเท่ากับน้ำอัดลม 2 กระป๋องก็สามารถลดการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียแล้ว ควรดื่มน้ำเปล่า น้ำชา นมพร่องไขมัน หรือเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลอื่นๆ เป็นประจำแทนที่จะเลือกเครื่องดื่มมีน้ำตาล แน่นอนว่าการมีโภชนาการที่ดี การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของการมีสุขภาพแข็งแรง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรู้จักหาวิธีคลายเครียด การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและไม่สูบบุหรี่ เป็นส่วนอื่นๆ ที่ทุกคนควรปฏิบัติด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยไม่ไข้

แหล่งที่มา : Healthtoday.net

แคลเซียมนั้นสำคัญอย่างไร

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างและรักษาความแข็งแกร่งของกระดูกในคนเรา รวมไปถึงสร้างความแข็งแรงของฟันและกล้ามเนื้อให้มีสุขภาพดีด้วย คงมีหลายคนสงสัยว่าจะเริ่มรับประทานแคลเซียมให้มากในช่วงวัยใดจึงจะดี
จากข้อมูลพบว่าการรับแคลเซียมตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นนับว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก ในการสร้างกระดูกในช่วงถัดไปของชีวิต และยังป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกต่างหาก มวลกระดูกของคนเรานั้นจะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 30 หรือ 35 ปี สำหรับอาหารที่มีแคลเซียมอยู่มากนั้นจะอยู่ในอาหารประเภทนม ชีส โยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนมจะเป็นตัวช่วยสร้างมวลกระดูกขึ้นมา นอกจากนี้ในอาหารจำพวกผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดอัลมอนด์ และผลไม้ ก็มีแคลเซียมอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเซลล์ในกระดูกจะถูกทำลายอยู่เสมอและมีการสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ ดังนั้น ร่างกายจึงต้องการแคลเซียมเพื่อมาใช้ในกระบวนการนี้ ถ้าหากร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ จะส่งผลให้กระดูกอ่อนแอได้ แล้วจะรับประทานแคลเซียมในปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ ต่อคำถามนี้ก็ต้องยกคำแนะนำจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ฮาร์วาร์ด ในสหรัฐฯ ที่บอกไว้ว่าควรรับแคลเซียมให้ได้ เฉลี่ยประมาณวันละ 550 มิลลิกรัม แต่ปริมาณที่ว่านั้นก็ยังขึ้นอยู่กับอายุที่ต่างกันไปด้วย ถ้าอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 19-50 ปีควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม แต่ถ้าอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรจะให้ได้ปริมาณวันละ 1,200 มิลลิกรัม

แหล่งที่มา : drug2home.com

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Heartburn (ภาคต่อ)

มาว่าต่อด้วย Heartburn ตอนที่แปลโรคนี้สงสัยมากเลย ยิ่งอ่านก็ยิ่งงง จึงได้หาข้อมูลเพิ่มเติม Heartburn ตัวนี้มีความสัมพันธ์3 อย่างเชื่อมโยงกัน คือ หลอดอาหาร, ตัวกล้ามเนื้อหูรูดซึ่งมีหน้าที่ปิด-เปิด ซึ่งอยู่ตรงกลางเชื่อมต่อกับกระเพาะอาหาร
อ้าวมาถึงตรงนี้เริ่มสงสัย แล้วมันเกี่ยวกับ Heartburn ยังไง? เพราะมันน่าจะเกี่ยวกับหัวใจและมันมีอาการเกี่ยวกับ "กรดไหลย้อนกลับ" ยังไง? แล้วมันสัมพันธ์กันยังไง?
พูดกันง่ายๆ คือโรคพวกนี้เกิดจาก การกินและสิ่งของที่เรากินเข้าไป เช่น กินบ่อยๆ ปากนกกระจิบ นกกระจอก ปากว่างไม่ได้ต้องหาอะไรกินตลอดเวลา หูรูดต้องทำงานตลอดเวลา ทำให้กรดไหลย้อนกลับได้ง่ายขึ้น อีกกรณีนึงคือกินเยอะเกินไปจนท้องตึงซึ่งทำให้อาหารดันกล้ามเนื้อหูรูดให้คลายตัว เมื่อหูรูดคลายเปิดออกมาทำให้กรดในกระเพาะที่หลั่งมาเพื่อย่อยอาหาร ออกมาผ่านหลอดอาหารจนเกิดอาการอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน จุกเสียด บริเวณหน้าอก
ถึงตอนนี้เริ่มเข้าใจ และตระหนักด้วยว่ากรดในกระเพาะคนเรานั้นร้ายแรง ถึงขั้นสามารถกัดเหล็กให้ทะลุได้ ลองนึกดูสิถ้ากรดได้ออกมาจากที่ที่มันสมควรอยู่ มันก็ต้องเกิดการทรมานของร่างกาย นั่นก็คือโรคตามมา แต่สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรคก็คือ พฤติกรรมของเรานั่นเอง พฤติกรรมการกิน

ป้ายกำกับ: , ,

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใครว่าผักเอาไว้กินอย่างเดียว

นวัตกรรมใหม่ของวงการสุขภาพและวงการดนตรี มีวงออเครสต้าชื่อว่า "Vienna Vegetable Orchrestra" วงนี้ก่อตั้งขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1998
วงนี้มีความแตกต่างทั้งชื่อและเครื่องดนตรีเลยทีเดียวเพราะเครื่องดนตรีนั้นทำมาจากเหล่าบรรดาผักทั้งหลาย ที่เราไว้ใช้กินกันนั่นเอง ซึ่งมี แตงกวา แครอท ฟักทอง และอื่นๆอีกมากมาย


ลองดู ตามลิงค์
http://www.youtube.com/watch?v=hpfYt7vRHuY&feature=player_embedded

ป้ายกำกับ: , ,

7 นิสัยที่สามารถช่วยหยุดการเจ็บปวดรุนแรงของหน้าอก

การกินอย่างถูกวิธีช่วยลดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงบริเวณหน้าอก หรือเรียกว่า (Heartburn) เพราะภาวะจากอาการเหล่านี้มาจากกรดไหลย้อนกลับ ถ้าคุณจะต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ คุณต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ (lifestyle) เช่นการกินอาหาร การสวมใส่เสื้อผ้าและการนอน ซึ่งคุณทำเปลี่ยนชีวิตประจำวันด้วย 7 นิสัยง่ายๆ คุณก็จะสามารถชนะโรค GERD หรือ “ภาวะโรคกรดไหลย้อนกลับ”

1. หลีกเลี่ยงอาหารมื้อใหญ่
กินทีละนิดอย่ากินอาหารจนทำให้อึดอัดแน่นท้องมากเกินไป การที่เรากินอาหารจนเต็มกระเพาะทำให้เกิดกรดไหลย้อนกลับได้เพราะหูรูดหย่อนยานทำให้กรดไหลย้อนออกได้สะดวกขึ้น (กระเพาะอาหารนั้นเชื่อมต่อกับหลอดอาหาร ถูกควบคุมโดยหูรูดที่อยู่ด้านล่างของหลอดอาหาร )


2.งดอาหารบางประเภท
งดช็อคโกแลตเครื่องดื่มชา กาแฟ และอาหารรสเผ็ด อาหารจำพวกของทอด หัวหอมดิบ และ มะเขือเทศ
3. งดดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์นั้นทำให้กรดในกระเพาะมากขึ้น
4. ลดน้ำหนัก
ถ้าอ้วนมากขึ้นจะทำให้หน้าท้องใหญ่เป็นเหตุให้สารเคมีที่เกิดขึ้นกับอวัยวะมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ร่างกายมีความรู้สึกไวกับน้ำกรด
5. อย่าใส่เสื้อผ้าฟิตเปรี๊ยะ
ถ้าหน้าว่าคุณมีหน้าท้องที่ใหญ่ไปและสวมกางเก่งฟิตๆ โดยที่กางเกงที่สวมใส่อยู่ตรงกลางระหว่างหน้าท้องก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ให้เกิดกรดไหลย้อนกลับได้
6. เวลานอนยกหัวให้สูงขึ้น
ขณะที่เรานอนหลับนั้นควรหาหมอนสูงๆ หรือใช้อะไรรองให้หมอนสูงขึ้น 6-8 นิ้ว
7. งดสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่นั้นมีผลทำให้ เกลือน้ำดีเคลื่อนย้ายจากลำไส้เล็กไปสู่กระเพาะ ซึ่งเป็นสาเหตุลดจำนวนการผลิตน้ำลาย (น้ำลายนั้นช่วยล้างกรดในกระเพาะออกจากหลอดอาหารและต่อต้าน ไบคาร์บอเน็ต (Bicarbonate)


แปลบทความจากนตยสารเฮลท์

ป้ายกำกับ: , ,

ชาเขียวช่วยป้องกันโรคมะเร็งในลำคอได้

นักวิจัยจากสมาคมวิจัยโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริกา ให้อาสาสมัครผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะเบื้องต้นจำนวน 41 คน ดื่มชาเขียว 8- 10 แก้ว ต่อวัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ได้ศึกษาค้นพบว่า ประมาณ 59% ที่อาสาสมัครเหล่านั้นมีผลตอบรับที่ดีกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มชาเขียวถึง 18%
อย่างไรก็ตามคนที่มีเซลล์ผิดปกติหรือเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติ ถ้าดื่มชาเขียวเป็นระยะเวลานานจะสามารถป้องกันมะเร็งในลำคอได้


แปลบทความจาก : Health Day News

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สารพัดประโยชน์จากงา

งา เป็นธัญพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 9 และวิตามิน ไบโอติน โคลีน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนแบนโซอิค สารเหล่านี้จะช่วยบำรุงประสาทให้เป็นไปอย่างปกติ นอกจากนี้ในงายังมีกรดไขมันไลโนลีอิกอยู่มากด้วยเช่นกัน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและสามารถเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดี

ผู้ที่มีอาการเกิดจากระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เป็นเหน็บชา ปวดเส้นตามตัว แขน ขา เบื่ออาหาร ท้องผูก หรือเมื่อยสายตา ควรหันมารับประทานงาเป็นประจำนะคะ เพราะสามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้ นอกจากนี้แล้วงายังเป็นอาหารต้านมะเร็งและช่วยชะลอความชราให้ช้าลงไปอีกด้วย

งาเป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุ ธาตุเหล็ก บำรุงเลือด ธาตุไอโอดีน ป้องกันโรคคอพอก ธาตุสังกะสี บำรุงผิวหนัง ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า งามีแคลเซียมมากกว่าพืชผักชนิดอื่นถึง 20 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักอื่น ๆ 20 เท่า ซึ่งธาตุทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญมาก ๆ ในการเสริมสร้างกระดูก

ทางการแพทย์ถือว่า งาเป็นอาหารที่สามารถบำรุงกำลังได้เป็นอย่างดีและยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นอกจากนี้ยังป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันอาการท้องผูก บำรุงกระดูก บำรุงรากผม รักษาอาการนอนไม่หลับ และยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดบางชนิด

สรรพคุณทางยา หากปัสสาวะ อุจจาระขัด ใช้เมล็ดงา 20-25 กรัม แช่ในน้ำเดือด หรือต้มรับประทานขณะท้องว่าง ถ้าความดันโลหิตสูงให้ใช้ เมล็ดงา น้ำส้ม ซีอิ๊วและน้ำผึ้งอย่างละ 30 กรัม ผสมกับไข่ขาว 1 ฟอง คนให้เข้ากันแล้วต้มด้วยไฟอ่อน ๆ จนสุก รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นประจำ ถ้าไอแห้ง ไม่มีเสมหะ ให้นำเมล็ดงา 250 กรัม น้ำตาลทรายแดง 50 กรัม บดรวมกันรับประทานครั้งละ 15-20 กรัม จากนั้นนำผงที่ได้เติมน้ำเดือดไว้สัก 2-3 นาที ดื่มขณะยังอุ่น ๆ วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น นอกจากนี้น้ำมันงายังกระตุ้นการงอกของเส้นผม โดยไปเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตรอบ ๆ รูขุมขนบนหนังศีรษะ เพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิวพรรณ และต้านอนุมูลอิสระ บำรุงเส้นผม ป้องกันการแก่ตัวและยืดอายุเซลล์ผิวหนังอีกด้วย


ข้อมูลจากนิตยสาร Hair & Beauty Studio ระบุว่า เด็กที่กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต หากได้รับประทานงาเป็นประจำร่างกายจะมีการเจริญเติบโต และยังสามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

สตรีวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดน้อยลงอย่างมาก ทำให้มีการดึงแคลเซียมออกจากกระดูกมาใช้แทน ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นโรคกระดูกเสื่อมจึงมีสูง ฉะนั้นควรหันมาบริโภคงามาก ๆ เพราะจะได้ช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายอีกทางหนึ่ง

ใช้น้ำมันงาดิบนวดตัวในตอนเช้าก่อนอาบน้ำ ช่วยปรับระบบประสาทและระดับฮอร์โมนให้ เข้าสู่สภาวะสมดุล ทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลายความตึงเครียด

ใช้น้ำมันงาดิบนวดตัว เพื่อขจัดอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเข่า เคล็ดขัดยอก ทำให้กล้ามเนื้อไม่เหี่ยวย่น ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ เนื่องจากน้ำมันงาดิบสามารถซึมผ่านผนังได้ทุกชั้น.

ข้อมูลดีๆจาก www.horapa.com/

7 วิธีที่ทำให้หน้าอกแข็งแรงห่างไกลโรคมะเร็งเต้านม

มีข่าวดีและข่าวร้ายเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมสำหรับกลุ่มสาวๆ ข่าวดีคือกลุ่มสาวๆมีปัญหาโรคมะเร็งเต้านมนี้น้อยกว่าสตรีสูงวัย แต่ข่าวร้ายก็คือถ้าโรคนี้มาถึงสาวๆเมื่อไหร่ อาการจะรุนแรงกว่ากลุ่มสตรีสูงวัยเลยทีเดียวล่ะ แต่อย่าเพิ่งตกใจไปเพราะว่าเรามีวิธีที่ดูแลปกป้องดูแลรักษาหน้าอกตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งมี 7 วิธี
1. รักษาน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์
รักษาน้ำหนักให้คงที่ ถ้าหากน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากเกินไปจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม
2. ทำให้เหงื่อออก
หมั่นออกกำลังกาย 45 นาที ต่อวัน 5 วัน ต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอนั้นจะช่วยป้องกันโรค และที่สำคัญไม่ทำให้อ้วน แถมยังลดระดับของ Estrogen และ Insulin
3. ดื่มแอลกอฮอล์น้อยๆ
นักวิจัยพบว่า การดื่มแอลกอฮอล์ 2 แก้วต่อวัน นั้นก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นถึง 21% ถ้าหากคุณเปลี่ยนเป็นดื่มวายแทน ก็สามารถลดความเสี่ยงของโรคได้เพราะว่าเปลือกขององุ่นนั้นสามารถช่วยลดระดับของ Estrogen
4. กินผักเป็นประจำ
การกินอาหารที่มีไขมันต่ำนั้นสามารถช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคได้ แต่ถ้าจะมีการป้องกันที่ดีเยี่ยม ต้องรับประทานผัก เช่น บล็อกโคลี่ และ คะน้า เพราะผักจำพวกนี้ประกอบด้วยแร่ธาตุ ซัลเฟอร์ราเฟน (sulforaphane) ซึ่งซัลเฟอร์ราเฟนนั้นเป็นสารต่อต้านมะเร็ง ถ้าอยากให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต้องกินแบบดิบๆ
5. รู้ประวัติคนในครอบครัว
15% สาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม ในครอบครัวจะมีประวัติโรคนี้อยู่ และถ้าหากคนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคนี้ คุณมีอัตราการเสี่ยงถึง 2 เท่า
6. หมั่นตรวจเช็ค
ควรหมั่นตรวจมะเร็งเต้านม ทุกๆ ปี หรืออย่างน้อย 3 ปีครั้ง อายุ 40 ปี ตรวจสอบแบบ Mammograms แต่ถ้าหากในครอบครัวมีประวัติโรคนี้ ควรตรวจก่อนล่วงหน้า 10 ปี
7. พิจารณาจากพันธุกรรม
ให้พิจารณาจากประวัติในครอบครัวว่ามีโรค มะเร็งเต้านม และ มะเร็งรังไข่ ถ้าหากคนคนในครอบครัวมีประวัวติดังกล่าว ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจเช็ค


แปลบทความจาก womenhealthmagazine

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แพทย์ค้นพบกลไกสำคัญ ไขความลับการหลับ ตื่น และหลับใน

ต่อไปนี้อาจจะมียาวิเศษที่จะช่วยให้คนขับรถมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาไม่หลับใน
และขณะเดียวกันก็จะช่วยให้คนนอนหลับได้ง่ายขึ้น


การศึกษาใหม่นี้จะช่วยปรับปรุงยาที่ดีขึ้นในการหลับ
และรู้เวลาแน่นอนว่าเวลาไหนที่ควรกินกาแฟเพื่อป้องกันการหลับ
นพ.คลิฟฟอร์ด จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า
เราอาจจะสามารถหาทหารที่สามารถรบได้ตลอด 24 ชมต่อวันได้
ถ้าเรารู้หลักการพื้นฐานของการหลับหรือตื่น เมื่อไรก็ตามที่เรารู้กลไก
เราสามารถควบคุมมันได้
ประมาณกันว่า ประชากร 70 ล้านคนในสหรัฐ มีปัญหาการนอน ทั้งที่เป็นนอนไม่หลับ
หรือนอนมากเกินไป และหลับใน อย่างน้อย ประมาณกันว่า อุบัติเหตุในท้องถนนกว่า
100000 ครั้งต่อปีและทำให้คนตายกว่า 1550 คนต่อปี เกิดจากการหลับใน
และการหลับในขณะทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานลดลง ไม่ว่าจะที่โรงเรียน
ที่ทำงาน และยังก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
ความเครียดและภูมิคุ้มกันต่อไวรัสลดลง
นอนเท่าไรจึงจะพอ
"การนอนให้เพียงพอ มีความสำคัญมากเท่าๆ กันกับการได้รับอาหารที่เป็นประโยชน์
และการออกกำลังกายที่เพียงพอ " นพ.คาร์ล ฮันท์
จากสถาบันวิจัยการผิดปกติของการนอนหลับแห่งสหรัฐกล่าว
นอนเท่าไรจึงพอ แต่ก่อนแพทย์มักแนะนำให้นอนอย่างน้อย 8 ชม.ต่อวัน
สำหรับผู้ใหญ่ แต่ในวารสารที่ออกมาเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พบว่า
การนอนเจ็ดชม หรือแม้แต่หก หรือห้าชั่วโมงในผู้ใหญ่
ที่ไม่มีปัญหาการง่วงเหงาหาวนอนในตอนกลางวัน ถือว่าเพียงพอ
นพ.แดเนียลแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งซานดิเอโก กล่าว
นพ.ฮันต์ กล่าวว่า จากการศึกษาทั้งหมดที่ผ่านมา ชี้ว่า การนอนประมาณ 7-8 ชม
ในผู้ใหญ่ ถือว่าเพียงพอ เมื่อลดการนอนลงมา เรื่อย ๆ จากนี้ การทำงานต่าง ๆ
สุขภาพ และอื่นๆ จะแย่ลง และพบว่า แม้ในบางคนจะไม่รู้สึกว่าตนเองนอนน้อยเลย
แต่ก็เป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับการนอนที่น้อยเรื่อย ๆ มานาน ในวัยรุ่น
ควรนอนประมาณ 8.5 ชม ในเด็ก ควรจะถึง 9 ชม.

ความผิดปกติของร่างกายเมื่อนอนน้อย
การตอบสนองของร่างกายลดลง ช้าลงและสมาธิจะลดลง
โดยเฉพาะในการขับรถในเส้นทางยาวที่โดดเดี่ยว
หรือในการจราจรที่มีรถหนาแน่นท้ายต่อท้าย จะมีปัญหาให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อย
เนื่องจากต้องมีการนั่งอยู่เป็นระยะนาน
ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนต้องเพ่งอยู่แต่ถนนอย่างเดียว
การตอบสนองต่อข้อมูลจากหลายๆแหล่งจะเสียไป
บางครั้งคุณจะเพ่งสมาธิอยู่แต่กับการขับรถในถนนจนน้ำมันหมดโดยไม่รู้ตัว
ปัญหาในจินตนาการ ไม่สามารถมีไอเดียในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ
ปัญหาความจำและการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แย่ลง
การตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจะเสียลง
อย่างไรก็ตามจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียพบว่า ถ้าให้เวลามากพอ
การตัดสินใจจะดีขึ้นเหมือนเดิม

การหลับเป็นระยะสั้น ๆ เช่นหนึ่งสองวินาทีหรือ10วินาที เรียกว่า Microsleep
เป็นปรากฎการณ์ที่อยู่ระหว่างการหลับและตื่น ปรากฎการณ์ที่ว่า
บางทีจะไม่สามารถสังเกตเห็นเลยว่าคนนั้นกำลังมี Microsleep
จะดูเหมือนคนตื่นปกติ แต่สมองไม่สั่งงาน
บางครั้งเป็นนานและก่อให้เกิดปัญหาได้

การวิจัยหลายแห่งชี้ว่า
การขาดการนอนเป็นเวลาหลายวัน ทำให้การทำงานแย่ลง แม้ตนเองจะรู้สึกไม่ได้ก็ตาม
การนอนแม้จะแค่งีบประมาณ 10 นาที ก็จะทำให้คนที่ง่วงนอนสดชื่นขึ้นได้
กาแฟ ถ้าได้ดื่มตอนเช้าตรู่ พบว่าไม่ได้ช่วยทำให้ตื่นได้ดีขึ้น
เพียงแต่ช่วยไม่ให้เกิดอาการของการขาดกาแฟ อันได้แก่ ความง่วง มึนหัว สับสน
ช่วงที่การดื่มกาแฟแก้ง่วงได้ดีที่สุด คือ ภายหลังจากตื่นแล้วแปดชม.

กลไกความง่วงของสมองและการออกฤทธิ์ของกาแฟ
สมอง มีกลไกอย่างน้อยสองอย่างที่ควบคุมการหลับและตื่น
อย่างแรกคือส่วนของสมองที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัส
ที่ควบคุมจังหวะการตื่นและการนอนใน 24 ชม. ซึ่งกลไกลึก ๆ แล้วเรายังไม่ทราบ
ว่ามันส่งสัญญาณอย่างไรต่อร่างกาย
อีกกลไกหนึ่งคือ การตอบสนองต่อการพอหรือไม่พอของการนอน
และส่งสัญญาณมาบอกว่าเราต้องการการนอนเพิ่ม
กลไกนี้ตัวหลักเชื่อว่าเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อดีโนซีน
ซึ่งเป็นสารเคมีที่หลั่งจากเซลสมองคล้าย ๆ
เป็นของเสียที่สร้างจากการทำงานของสมอง ตามทฤษฎีเชื่อว่า
เมื่อมีการทำงานของสมองในช่วงที่เราตื่นนอน
จะมีการสร้างและสะสมของสารนี้เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งสารนี้จะเป็นตัวยับยั้งการทำงานของสมอง
ทำให้รู้สึกง่วงและสมองทำงานได้แย่ลง พอได้นอนเซลสมองทำงานน้อยลง
สารเคมีนี้จะลดลงและทำให้เรารู้สึกตื่นขึ้น
คาเฟอีนในกาแฟ จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของอดีโนซีน
ซึ่งการศึกษาต่อไปจะช่วยให้เราหาสารที่จะออกฤทธิ์คล้าย ๆ
อย่างนี้และทำให้สามารถควบคุมความง่วงได้ หรือกลับกันคือ
สามารถหายานอนหลับที่ดีกว่าปัจจุบัน


แหล่งที่มา: ไทยเฮลท์ดอทเน็ต

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ ปิ้ง ย่าง อย่างไรห่างไกลมะเร็ง

แม้ว่าวิธีการปิ้ง ย่าง จะถูกระบุว่าเป็น การปรุงอาหารที่เสี่ยงต่อมะเร็ง แต่การปิ้ง ย่าง ก็เป็นการปรุงอาหารที่ทำให้ไม่ต้องรับไขมันเพิ่มจากน้ำมันเหมือนกับวิธีการทอด


วิธีที่ชาญฉลาดคือ ปิ้ง ย่างโดยไม่ให้อาหารไหม้เกินไป และปิ้ง ย่างโดยลดปริมาณน้ำมันที่จะหยดลงไปบนถ่านไฟแดงๆ ในเตา เพราะควันที่ลอยกลับขึ้นมาติดกับเนื้อสัตว์นั้นเป็นตัวการก่อมะเร็งได้พอๆ กับในส่วนที่ไหม้ และการตัดส่วนที่ไหม้ทิ้งไปนั้น แม้จะป้องกันไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าทานในส่วนที่ไหม้ไฟเต็มๆ นอกจากนี้ภาชนะที่ใส่อาหารปิ้ง ย่าง จะมีคราบสีดำติดอยู่ ดังนั้นต้องล้างให้สะอาดหมดจดก่อนที่จะนำกลับมาใช้ใหม่ โดยเฉพาะเตาปิ้ง


หากรักที่จะทานอาหารปิ้ง ย่าง ต่อไป ก็ต้องรู้จักวิธีที่จะเลี่ยงสารก่อมะเร็ง






ขอบคุณข้อมูล : นิตยสารใกล้หมอ