Custom Search

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

7 ผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ แห่งปี 2010

ปัจจุบันการบริโภคอาหารสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น เราลองมาดูกันนะคะว่าในปีนี้มีผลิตภัณฑ์กลุ่มอะไรบ้างที่มีแนวโน้มจะมาแรงตามที่วารสาร Prepared Foods ของสหรัฐอเมริกาเค้าได้รวบรวมไว้
1) ผลิตภัณฑ์แอนติออกซิแดนท์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของสารแอนติออกซิแดนท์ไม่ว่าจะเป็นจากผัก ผลไม้หรือธัญพืช เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และจะยังคงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคที่รักสุขภาพอยู่ในปีนี้เช่นกัน สารแอนติออกซิแดนท์นั้นมีรายงานวิจัยว่าสามารถลดการเกิดภาวะ oxidative stress ของร่างกายซึ่งมีผลทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจรวมทั้งโรคมะเร็ง ผลิตภัณฑ์อาหารผสมสารแอนติออกซิแดนท์ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมได้แก่ - แครนเบอรี่ (Cranberry) มีสารที่สำคัญ คือ proanthocyanin ซึ่งทำหน้าที่แอนติออกซิแดนท์ป้องกันเซลล์ถูกทำลายเนื่องจากสารอนุมูลอิสระ สารตัวนี้ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อ โดยป้องกันการเกาะติดของเซลล์แบคทีเรียกับผนังเซลล์ นอกจากนี้ แครนเบอรี่ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินซีและสารฟีนอลลิก อีกด้วย-ลูเตอิน (Lutein) พบมากในมะเขือเทศ เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ธรรมชาติ ที่เชื่อว่าสามารถช่วยกระชับเซลผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากภาวะออกซิเดชันเนื่องจากมลภาวะ การสูบบุหรี่หรือเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม การบริโภคลูเตอินอย่างต่อเนื่องจึงช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่งสวยจากภายในสู่ภายนอก-เบตา-แคโรทีน (Beta-carotene) พบในแครอท มะเขือเทศ เป็นพรีเคอร์เซอร์ (precursor) ของวิตามินเอ ทำหน้าที่เป็นแอนติออกซิแดนท์โดยจับอนุมูลอิสระ ดังนั้น จึงลดการทำลายของเซลล์และดีเอ็นเอ เนื่องจาก อนุมูลอิสระ
------------------------------------------------------------
2) ผลิตภัณฑ์ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกแคลเซียมและวิตามินดีช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกเสื่อม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และยังช่วยลดอาการอักเสบตามข้อต่อต่างๆ มีรายงานวิจัยที่พบว่าการบริโภคโอเมกาสาม สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเหล่านี้ได้ โดยโอเมกาสามทำหน้าที่ช่วยควบคุม pro-inflammatory cytokines นอกจากนี้งานวิจัยดังกล่าวยังรายงานว่า การบริโภคอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง และปริมาณโซเดียมต่ำ ช่วยลดโรคกระดูกเสื่อมในผู้สูงอายุได้ เมื่อเร็วๆ นี้มีผลิตภัณฑ์แคลเซียม-ฟอสฟอรัสในรูปผงอนุภาค 20 ไมครอน ได้ออกจำหน่าย เนื่องจากมีขนาดเล็กมากทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถบอกถึงความแตกต่างกลิ่น รส เนื้อสัมผัสได้เมื่อเติมลงในผลิตภัณฑ์อาหาร โดยแคลเซียมและฟอสฟอรัสนี้จะทำงานส่งเสริมกันในการควบคุมปริมาณแคลเซียมในเซลล์กระดูกให้เหมาะสม ผลิตภัณฑ์อีกประเภทที่จะมาแรงเป็นที่นิยมในปีใหม่นี้ คือ เครื่องดื่มถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมรสผลไม้ โดยมีปริมาณแคลเซียมกับนม
-----------------------------------------------------------
3) ผลิตภัณฑ์ช่วยป้องกันโรคหัวใจโรคหัวใจเป็นโรคอันดับหนึ่งที่คร่าชีวิตมนุษย์ โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ประกอบกับการออกกำลังกายที่ไม่เพียงพอ ผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งเสริมการป้องกันโรคหัวใจที่มีแนวโน้มจะมาแรงในปีนี้ ได้แก่-อัลมอนด์ (almond) ซึ่งอุดมด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง เช่นเดียวกับไขมันที่พบในผลอะโวคาโดหรือน้ำมันมะกอก นอกจากนี้ อัลมอนด์ยังอุดมด้วยไฟเบอร์ คอปเปอร์และแมกนีเซียมอีกด้วย-เชียร์ (Chia) ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก เชียร์เป็นธัญพืช ปราศจากกลูเต็น (gluten) เป็นแหล่งของโอเมกาสาม มีส่วนประกอบของโปรตีน 20% ไขมัน 34% และ 25% ไฟเบอร์ เชียร์เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคหัวใจและยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย-น้ำมันมะกอกชนิดพิเศษ (extra virgin olive oil) เป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว และยังอุดมด้วยสารแอนติออกซิแดนท์จำพวกฟีนอล, แครอทีนอยด์ และวิตามินอี ช่วยลดการไขมันอุดตันเส้นเลือดหัวใจ ช่วยควบคุมน้ำหนัก เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย-เนยขาวสุขภาพ เมื่อไม่นานมานี้มีเนยขาว (shortening) ผลิตจากน้ำมันคาโนลา ไม่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งแตกต่างจากเนยขาวชนิดอื่นที่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ เนยขาวสุขภาพนี้ ทนความร้อนได้ดี จึงเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ขนมอบ
------------------------------------------------------------
4) ผลิตภัณฑ์ที่เสริมความจำและการเรียนรู้ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะมาแรงเช่นเดียวกัน ผลิตภัณ์อาหารประเภทนี้ที่มีการผลิตออกมาล่าสุดนั้นเป็นการผสมกันของโอเมกาสาม 3 ชนิด คือ DHA, ALA, EPA ในรูปผง ไม่มีรสและสามารถทนต่อกระบวนการผลิตได้ดี จึงเหมาะใช้ผสมในผลิตภัณฑ์ขนมอบหรือธัญพืชชนิดแท่ง ซึ่ง DHA นั้นสกัดจากสาหร่าย สามารถช่วยในการพัฒนาสมอง ดังนั้น DHA จึงมีความเหมาะสำหรับกลุ่มมังสวิรัตและเด็กแรกเกิด สารผสมอาหารอีกตัวหนึ่งที่มาแรงไม่แพ้กัน คือ โคลีน (choline) โดยมีความสำคัญในกระบวนการสร้างผนังเซลล์ เป็นสารที่ช่วยส่งผ่านระบบประสาท จึงมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาระบบประสาทในวัยเด็กมาก
------------------------------------------------------------
5) ผลิตภัณฑ์ป้องกันการเกิดโรคเบาหวานอาหารจำพวกข้าวโอ๊ต ข้าวไรน์ ซูการ์บีท ซึ่งมีไฟเบอร์สูง สามารถช่วยควบคุมปริมาณกลูโคส อินซูลิน และไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดได้ นอกจากกลุ่มอาหารที่กล่าวมาแล้วนั้น ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจำพวก resistant starch จากข้าวโพดสามารถช่วยควบคุมน้ำหนัก ปริมาณไกลซีมิก ระบบการย่อยและสร้างสมดุลในการควบคุมปริมาณให้เหมาะสม โดยสตาร์ชชนิดนี้สามารถเติมลงในผลิตภัณฑ์จำพวกขนมปัง มัฟฟิน ซีเรียล แครกเกอร์ พาสตา โดยไม่ทำให้กลิ่นรส เนื้อสัมผัสของอาหารเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไป
------------------------------------------------------------
6) ผลิตภัณฑ์เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารเอนไซม์จำพวกโปรติเอส เซลลูเลส เฮมิเซลลูเลส อะไมเลส ไลเปส อาจเติมลงในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ เพื่อช่วยส่งเสริมให้การทำงานของระบบย่อยอาหารเป็นไปได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ทดแทนกลูเต็นด้วยกัมชนิดต่างๆ เช่น แซนแทนกัม กัวร์กัม ก็เป็นที่น่าจับตามองเช่นเดียวกัน เนื่องจากปริมาณของผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน (celiac disease) โดยกัมจะทำหน้าที่แทนกลูเต็นในเรื่องของคุณสมบัติความยืดหยุ่น (elastic property), ความสามารถในการอุ้มอากาศทำให้ผลิตภัณฑ์ขึ้นฟูได้
------------------------------------------------------------
7) ผลิตภัณฑ์ให้พลังงานแก่ร่างกายและผลิตภัณฑ์สำหรับนักกีฬาเนื่องจากในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาเอาใจใส่สุขภาพกันมากขึ้น ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มให้พลังงานและผลิตภัณฑ์สำหรับนักกีฬาจึงมีการเติบโตเพิ่มขึ้น มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกวางตลาดมากขึ้น ได้แก่-ผลิตภัณฑ์ซึ่งเติมสาร Ubiquinol ซึงเป็นสารในรูปรีดิวซ์ของ Co-Q10 เป็นสารแอนติออกซิแดนท์และช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้เหมาะสม-ผลิตภัณฑ์ซึ่งเติมพาลาติโนส (Palatinose) หรือเรียกอีกอย่างว่าไอโซมอลทูโลส (isomaltulose) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดไกลเซมิก (glycemic)ต่ำ และสามารถย่อยได้อย่างสมบูรณ์ (fully-digestible low-glycemic carbohydrate) พาลาติโนสให้พลังงานในรูปกลูโคส ช่วยส่งเสริมการเผาผลาญไขมันในระหว่างการออกกำลังกาย ดังนั้นจึงนิยมเติมลงในเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา-ผลิตภัณฑ์ไขมันสุขภาพ ซึ่งพัฒนาจากไตรกลีเซอร์ไรด์สายโซ่ขนาดกลาง (medium-chain triglyceride) ไม่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไขมันสุขภาพนี้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที ให้พลังงานต่ำเนื่องจากร่างกายสามารถเมตาบอไลซ์ได้เพียง 1/8 เท่าของไขมันปกติ ดังนั้นจึงไม่สะสมในร่างกาย
--------------------------------------


เอกสารอ้างอิง วารสาร Prepared Foods, ธันวาคม 2552, 2010 Ingredients for Health Reference

ป้ายกำกับ:

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

ทับทิมไม้มงคลมากสรรพคุณ

ไม่ใช่อัญมณีสีชมพูเข้ม และไม่ใช่ทับทิมกรอบ แต่เป็นผลไม้ที่ชื่อว่าทับทิม ไม้ผลทรงกลมหน้าตาบ้านๆ จนบางคนคิดว่าเป็นผลไม้ไทย
แต่ถ้าถามลูกจีนก็เข้าใจว่าเป็นผลไม้จีนเพราะเห็นบ่อยๆ เวลาไหว้เจ้า แต่ที่ไหนได้ เจ้าผลไม้ชนิดนี้กลับมีต้นกำเนิดจากดินแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้มาแต่ครั้งโบราณกาล ก่อนจะแพร่กระจายขยายพันธุ์ไปทั่วประเทศแถบอาร์เมเนีย, อาเซอร์ไบจัน, อิหร่าน, ตุรกี, อัฟกานิสถาน, ปากีสถาน และแถบภาคเหนือของอินเดีย
จากนั้นจึงมีการนำเมล็ดพันธุ์มาปลูกแถวบ้านเรา รวมทั้งพื้นที่ในแถบแอฟริกา ขณะที่ละตินอเมริกาและแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ รับเอาเมล็ดพันธุ์ของพืชชนิดนี้ไปลองปลูกบ้าง หลังจากที่ชาวสเปนอพยพไปตั้งถิ่นฐานในปี 1769 เป็นอันว่าเจ้าผลไม้ชนิดนี้มีปลูกกันแทบจะทั่วโลก
และถึงทับทิมจะมีหลายสายพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายกันคือเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูงราวๆ 4-6 เมตร ทรงพุ่มโปร่ง มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก ดอกสีแดงหรือขาว ผลกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เมื่อแก่จัดเปลือกผลสีเหลืองอมแดง บางพันธุ์ออกโทนน้ำตาลอมส้ม ไปจนถึงพันธุ์ที่มีสีแดงจัด เมื่อผ่าออกจะมีเมล็ดมากมายอยู่ภายใน ลักษณะเมล็ดมีเนื้อใสสีแดงหรือชมพูหุ้มอยู่แต่ละเมล็ด เนื้อทับทิมมีน้ำมาก รสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน
ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีบทบาทในตำนานของดินแดนต่างๆ ด้วย มีไม่น้อยที่ทับทิมถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการเกิด ด้วยเมล็ดเล็กๆ มากมายที่ถูกมองเป็นความสามารถในการเจริญพันธุ์ และการมีชีวิตชั่วนิรันดร์ ชาวกรีกถึงกับใช้ทับทิมในงานแต่งงานโดยถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการดำรงเผ่าพันธุ์
ชาวจีนถือว่าต้นทับทิมเป็นไม้มงคล โดยเฉพาะทับทิมดอกสีขาวเป็นสักญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และการมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง กิ่งใบทับทิมเป็นไม้มงคลที่ถูกใช้ทุกงาน โดยมีการปักยอดทับทิมไว้ที่ของไหว้เจ้า
ส่วนที่อินเดีย ทับทิมถูกบรรจุในตำราการแพทย์แผนโบราณ 'อายุรเวช' มาเป็นพันๆ ปี โดยมีการบันทึกไว้ชัดเจนถึงสรรพคุณแก้ท้องร่วง รักษาอหิวาห์ และฆ่าเชื้อในลำไส้ น้ำทับทิมใช้ดื่มเพื่อบำรุงหัวใจและแก้เจ็บคอ แถมยังใช้หยอดตาแก้โรคต้อได้อีกด้วย
ขณะที่แพทย์แผนไทยใช้ทับทิมทั้งต้น หรือที่เรียกกันว่า 'ทับทิมทั้งห้า' เป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้าย ส่วนใบใช้สมานแผล แก้ท้องร่วง น้ำต้มใบใช้อมกลั้วคอ และทำยาล้างตา ดอกใช้ห้ามเลือด เปลืองผลใช้สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง เนื้อหุ้มเมล็ดแก้โรคลักปิดลักเปิดและแก้กระหายน้ำ
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ของยุคปัจจุบันช่วยยืนยันว่าตำรับยาแผนโบราณไม่ใช่แค่เชื่อตามๆ กันมา แต่นักวิจัยค้นพบว่าเปลือกทับทิมมีสารกลุ่มแทนนินสูงถึงร้อยละ 22-25 ซึ่งประกอบด้วยสารกลุ่ม แกลโลแทนนิน (gallotannin) และเอลลาจิแทนนิน (ellagitannin) ปริมาณสูง เปลือกทับทิมตากแห้งใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำสูตรการใช้ทับทิมเพื่อรักษาอาการท้องเสียไว้ว่าให้นำเปลือกทับทิมต้มกับน้ำเดือด ดื่มทุก 4 ชั่วโมง ครั้งละ 1-2 ช้อนชาสำหรับเด็ก และ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่
นอกจากนี้ สารกลุ่มเอลลาจิแทนนินจากเปลือกผลทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งกว่า 13 ชนิด ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น
ยังมีนักวิจัยที่เรียงแถวหน้ากระดานออกมายืนยันสรรพคุณของทับทิมกันอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นแหล่งวิตามินซี น้ำทับทิม 1 แก้วมีวิตามินซีร้อยละ 40 ของความต้องการของผู้ใหญ่ในหนึ่งวัน รวมไปถึงวิตามินเอ อี และกรมโฟลิกในปริมาณสูง
น้ำทับทิมยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพราะมีสารกลุ่ม โพลีฟีนอล ที่สามารถยับยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระของไขมันที่ไม่ดี หรือ LDL-C, low densitylipoprotein cholesterol) ลดการสร้างโฟมเซลล์และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด และยังมี แอนโทไซยานิน ในปริมาณสูง น้ำทับทิมปริมาณเท่ากับมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเป็น 3 เท่าของไวน์แดงและชาเขียว และสูงกว่าน้ำผลไม้ชนิดอื่น
นอกจากการรับประทานที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี น้ำทับทิมยังมีคุณสมบัติด้านความงาม ใช้น้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชาทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้ผิวหน้าใสเด้งเต่งตึง
สรรพคุณมากมาย กินก็ได้ทาก็ได้ แถมปลูกขึ้นง่าย ถ้าที่บ้านพอมีที่ทาง หามาปลูกไว้สักต้นเสริมมงคลให้ครอบครัวดีอีกด้วย

ป้ายกำกับ: , , ,