Custom Search

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

7 ผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ แห่งปี 2010

ปัจจุบันการบริโภคอาหารสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น เราลองมาดูกันนะคะว่าในปีนี้มีผลิตภัณฑ์กลุ่มอะไรบ้างที่มีแนวโน้มจะมาแรงตามที่วารสาร Prepared Foods ของสหรัฐอเมริกาเค้าได้รวบรวมไว้
1) ผลิตภัณฑ์แอนติออกซิแดนท์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของสารแอนติออกซิแดนท์ไม่ว่าจะเป็นจากผัก ผลไม้หรือธัญพืช เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และจะยังคงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคที่รักสุขภาพอยู่ในปีนี้เช่นกัน สารแอนติออกซิแดนท์นั้นมีรายงานวิจัยว่าสามารถลดการเกิดภาวะ oxidative stress ของร่างกายซึ่งมีผลทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจรวมทั้งโรคมะเร็ง ผลิตภัณฑ์อาหารผสมสารแอนติออกซิแดนท์ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมได้แก่ - แครนเบอรี่ (Cranberry) มีสารที่สำคัญ คือ proanthocyanin ซึ่งทำหน้าที่แอนติออกซิแดนท์ป้องกันเซลล์ถูกทำลายเนื่องจากสารอนุมูลอิสระ สารตัวนี้ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อ โดยป้องกันการเกาะติดของเซลล์แบคทีเรียกับผนังเซลล์ นอกจากนี้ แครนเบอรี่ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินซีและสารฟีนอลลิก อีกด้วย-ลูเตอิน (Lutein) พบมากในมะเขือเทศ เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ธรรมชาติ ที่เชื่อว่าสามารถช่วยกระชับเซลผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากภาวะออกซิเดชันเนื่องจากมลภาวะ การสูบบุหรี่หรือเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม การบริโภคลูเตอินอย่างต่อเนื่องจึงช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่งสวยจากภายในสู่ภายนอก-เบตา-แคโรทีน (Beta-carotene) พบในแครอท มะเขือเทศ เป็นพรีเคอร์เซอร์ (precursor) ของวิตามินเอ ทำหน้าที่เป็นแอนติออกซิแดนท์โดยจับอนุมูลอิสระ ดังนั้น จึงลดการทำลายของเซลล์และดีเอ็นเอ เนื่องจาก อนุมูลอิสระ
------------------------------------------------------------
2) ผลิตภัณฑ์ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกแคลเซียมและวิตามินดีช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกเสื่อม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และยังช่วยลดอาการอักเสบตามข้อต่อต่างๆ มีรายงานวิจัยที่พบว่าการบริโภคโอเมกาสาม สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเหล่านี้ได้ โดยโอเมกาสามทำหน้าที่ช่วยควบคุม pro-inflammatory cytokines นอกจากนี้งานวิจัยดังกล่าวยังรายงานว่า การบริโภคอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง และปริมาณโซเดียมต่ำ ช่วยลดโรคกระดูกเสื่อมในผู้สูงอายุได้ เมื่อเร็วๆ นี้มีผลิตภัณฑ์แคลเซียม-ฟอสฟอรัสในรูปผงอนุภาค 20 ไมครอน ได้ออกจำหน่าย เนื่องจากมีขนาดเล็กมากทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถบอกถึงความแตกต่างกลิ่น รส เนื้อสัมผัสได้เมื่อเติมลงในผลิตภัณฑ์อาหาร โดยแคลเซียมและฟอสฟอรัสนี้จะทำงานส่งเสริมกันในการควบคุมปริมาณแคลเซียมในเซลล์กระดูกให้เหมาะสม ผลิตภัณฑ์อีกประเภทที่จะมาแรงเป็นที่นิยมในปีใหม่นี้ คือ เครื่องดื่มถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมรสผลไม้ โดยมีปริมาณแคลเซียมกับนม
-----------------------------------------------------------
3) ผลิตภัณฑ์ช่วยป้องกันโรคหัวใจโรคหัวใจเป็นโรคอันดับหนึ่งที่คร่าชีวิตมนุษย์ โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ประกอบกับการออกกำลังกายที่ไม่เพียงพอ ผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งเสริมการป้องกันโรคหัวใจที่มีแนวโน้มจะมาแรงในปีนี้ ได้แก่-อัลมอนด์ (almond) ซึ่งอุดมด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง เช่นเดียวกับไขมันที่พบในผลอะโวคาโดหรือน้ำมันมะกอก นอกจากนี้ อัลมอนด์ยังอุดมด้วยไฟเบอร์ คอปเปอร์และแมกนีเซียมอีกด้วย-เชียร์ (Chia) ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก เชียร์เป็นธัญพืช ปราศจากกลูเต็น (gluten) เป็นแหล่งของโอเมกาสาม มีส่วนประกอบของโปรตีน 20% ไขมัน 34% และ 25% ไฟเบอร์ เชียร์เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคหัวใจและยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย-น้ำมันมะกอกชนิดพิเศษ (extra virgin olive oil) เป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว และยังอุดมด้วยสารแอนติออกซิแดนท์จำพวกฟีนอล, แครอทีนอยด์ และวิตามินอี ช่วยลดการไขมันอุดตันเส้นเลือดหัวใจ ช่วยควบคุมน้ำหนัก เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย-เนยขาวสุขภาพ เมื่อไม่นานมานี้มีเนยขาว (shortening) ผลิตจากน้ำมันคาโนลา ไม่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งแตกต่างจากเนยขาวชนิดอื่นที่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ เนยขาวสุขภาพนี้ ทนความร้อนได้ดี จึงเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ขนมอบ
------------------------------------------------------------
4) ผลิตภัณฑ์ที่เสริมความจำและการเรียนรู้ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะมาแรงเช่นเดียวกัน ผลิตภัณ์อาหารประเภทนี้ที่มีการผลิตออกมาล่าสุดนั้นเป็นการผสมกันของโอเมกาสาม 3 ชนิด คือ DHA, ALA, EPA ในรูปผง ไม่มีรสและสามารถทนต่อกระบวนการผลิตได้ดี จึงเหมาะใช้ผสมในผลิตภัณฑ์ขนมอบหรือธัญพืชชนิดแท่ง ซึ่ง DHA นั้นสกัดจากสาหร่าย สามารถช่วยในการพัฒนาสมอง ดังนั้น DHA จึงมีความเหมาะสำหรับกลุ่มมังสวิรัตและเด็กแรกเกิด สารผสมอาหารอีกตัวหนึ่งที่มาแรงไม่แพ้กัน คือ โคลีน (choline) โดยมีความสำคัญในกระบวนการสร้างผนังเซลล์ เป็นสารที่ช่วยส่งผ่านระบบประสาท จึงมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาระบบประสาทในวัยเด็กมาก
------------------------------------------------------------
5) ผลิตภัณฑ์ป้องกันการเกิดโรคเบาหวานอาหารจำพวกข้าวโอ๊ต ข้าวไรน์ ซูการ์บีท ซึ่งมีไฟเบอร์สูง สามารถช่วยควบคุมปริมาณกลูโคส อินซูลิน และไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดได้ นอกจากกลุ่มอาหารที่กล่าวมาแล้วนั้น ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจำพวก resistant starch จากข้าวโพดสามารถช่วยควบคุมน้ำหนัก ปริมาณไกลซีมิก ระบบการย่อยและสร้างสมดุลในการควบคุมปริมาณให้เหมาะสม โดยสตาร์ชชนิดนี้สามารถเติมลงในผลิตภัณฑ์จำพวกขนมปัง มัฟฟิน ซีเรียล แครกเกอร์ พาสตา โดยไม่ทำให้กลิ่นรส เนื้อสัมผัสของอาหารเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไป
------------------------------------------------------------
6) ผลิตภัณฑ์เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารเอนไซม์จำพวกโปรติเอส เซลลูเลส เฮมิเซลลูเลส อะไมเลส ไลเปส อาจเติมลงในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ เพื่อช่วยส่งเสริมให้การทำงานของระบบย่อยอาหารเป็นไปได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ทดแทนกลูเต็นด้วยกัมชนิดต่างๆ เช่น แซนแทนกัม กัวร์กัม ก็เป็นที่น่าจับตามองเช่นเดียวกัน เนื่องจากปริมาณของผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน (celiac disease) โดยกัมจะทำหน้าที่แทนกลูเต็นในเรื่องของคุณสมบัติความยืดหยุ่น (elastic property), ความสามารถในการอุ้มอากาศทำให้ผลิตภัณฑ์ขึ้นฟูได้
------------------------------------------------------------
7) ผลิตภัณฑ์ให้พลังงานแก่ร่างกายและผลิตภัณฑ์สำหรับนักกีฬาเนื่องจากในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาเอาใจใส่สุขภาพกันมากขึ้น ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มให้พลังงานและผลิตภัณฑ์สำหรับนักกีฬาจึงมีการเติบโตเพิ่มขึ้น มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกวางตลาดมากขึ้น ได้แก่-ผลิตภัณฑ์ซึ่งเติมสาร Ubiquinol ซึงเป็นสารในรูปรีดิวซ์ของ Co-Q10 เป็นสารแอนติออกซิแดนท์และช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้เหมาะสม-ผลิตภัณฑ์ซึ่งเติมพาลาติโนส (Palatinose) หรือเรียกอีกอย่างว่าไอโซมอลทูโลส (isomaltulose) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดไกลเซมิก (glycemic)ต่ำ และสามารถย่อยได้อย่างสมบูรณ์ (fully-digestible low-glycemic carbohydrate) พาลาติโนสให้พลังงานในรูปกลูโคส ช่วยส่งเสริมการเผาผลาญไขมันในระหว่างการออกกำลังกาย ดังนั้นจึงนิยมเติมลงในเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา-ผลิตภัณฑ์ไขมันสุขภาพ ซึ่งพัฒนาจากไตรกลีเซอร์ไรด์สายโซ่ขนาดกลาง (medium-chain triglyceride) ไม่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไขมันสุขภาพนี้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที ให้พลังงานต่ำเนื่องจากร่างกายสามารถเมตาบอไลซ์ได้เพียง 1/8 เท่าของไขมันปกติ ดังนั้นจึงไม่สะสมในร่างกาย
--------------------------------------


เอกสารอ้างอิง วารสาร Prepared Foods, ธันวาคม 2552, 2010 Ingredients for Health Reference

ป้ายกำกับ:

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

ทับทิมไม้มงคลมากสรรพคุณ

ไม่ใช่อัญมณีสีชมพูเข้ม และไม่ใช่ทับทิมกรอบ แต่เป็นผลไม้ที่ชื่อว่าทับทิม ไม้ผลทรงกลมหน้าตาบ้านๆ จนบางคนคิดว่าเป็นผลไม้ไทย
แต่ถ้าถามลูกจีนก็เข้าใจว่าเป็นผลไม้จีนเพราะเห็นบ่อยๆ เวลาไหว้เจ้า แต่ที่ไหนได้ เจ้าผลไม้ชนิดนี้กลับมีต้นกำเนิดจากดินแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้มาแต่ครั้งโบราณกาล ก่อนจะแพร่กระจายขยายพันธุ์ไปทั่วประเทศแถบอาร์เมเนีย, อาเซอร์ไบจัน, อิหร่าน, ตุรกี, อัฟกานิสถาน, ปากีสถาน และแถบภาคเหนือของอินเดีย
จากนั้นจึงมีการนำเมล็ดพันธุ์มาปลูกแถวบ้านเรา รวมทั้งพื้นที่ในแถบแอฟริกา ขณะที่ละตินอเมริกาและแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ รับเอาเมล็ดพันธุ์ของพืชชนิดนี้ไปลองปลูกบ้าง หลังจากที่ชาวสเปนอพยพไปตั้งถิ่นฐานในปี 1769 เป็นอันว่าเจ้าผลไม้ชนิดนี้มีปลูกกันแทบจะทั่วโลก
และถึงทับทิมจะมีหลายสายพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายกันคือเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูงราวๆ 4-6 เมตร ทรงพุ่มโปร่ง มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก ดอกสีแดงหรือขาว ผลกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เมื่อแก่จัดเปลือกผลสีเหลืองอมแดง บางพันธุ์ออกโทนน้ำตาลอมส้ม ไปจนถึงพันธุ์ที่มีสีแดงจัด เมื่อผ่าออกจะมีเมล็ดมากมายอยู่ภายใน ลักษณะเมล็ดมีเนื้อใสสีแดงหรือชมพูหุ้มอยู่แต่ละเมล็ด เนื้อทับทิมมีน้ำมาก รสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน
ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีบทบาทในตำนานของดินแดนต่างๆ ด้วย มีไม่น้อยที่ทับทิมถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการเกิด ด้วยเมล็ดเล็กๆ มากมายที่ถูกมองเป็นความสามารถในการเจริญพันธุ์ และการมีชีวิตชั่วนิรันดร์ ชาวกรีกถึงกับใช้ทับทิมในงานแต่งงานโดยถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการดำรงเผ่าพันธุ์
ชาวจีนถือว่าต้นทับทิมเป็นไม้มงคล โดยเฉพาะทับทิมดอกสีขาวเป็นสักญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และการมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง กิ่งใบทับทิมเป็นไม้มงคลที่ถูกใช้ทุกงาน โดยมีการปักยอดทับทิมไว้ที่ของไหว้เจ้า
ส่วนที่อินเดีย ทับทิมถูกบรรจุในตำราการแพทย์แผนโบราณ 'อายุรเวช' มาเป็นพันๆ ปี โดยมีการบันทึกไว้ชัดเจนถึงสรรพคุณแก้ท้องร่วง รักษาอหิวาห์ และฆ่าเชื้อในลำไส้ น้ำทับทิมใช้ดื่มเพื่อบำรุงหัวใจและแก้เจ็บคอ แถมยังใช้หยอดตาแก้โรคต้อได้อีกด้วย
ขณะที่แพทย์แผนไทยใช้ทับทิมทั้งต้น หรือที่เรียกกันว่า 'ทับทิมทั้งห้า' เป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้าย ส่วนใบใช้สมานแผล แก้ท้องร่วง น้ำต้มใบใช้อมกลั้วคอ และทำยาล้างตา ดอกใช้ห้ามเลือด เปลืองผลใช้สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง เนื้อหุ้มเมล็ดแก้โรคลักปิดลักเปิดและแก้กระหายน้ำ
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ของยุคปัจจุบันช่วยยืนยันว่าตำรับยาแผนโบราณไม่ใช่แค่เชื่อตามๆ กันมา แต่นักวิจัยค้นพบว่าเปลือกทับทิมมีสารกลุ่มแทนนินสูงถึงร้อยละ 22-25 ซึ่งประกอบด้วยสารกลุ่ม แกลโลแทนนิน (gallotannin) และเอลลาจิแทนนิน (ellagitannin) ปริมาณสูง เปลือกทับทิมตากแห้งใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำสูตรการใช้ทับทิมเพื่อรักษาอาการท้องเสียไว้ว่าให้นำเปลือกทับทิมต้มกับน้ำเดือด ดื่มทุก 4 ชั่วโมง ครั้งละ 1-2 ช้อนชาสำหรับเด็ก และ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่
นอกจากนี้ สารกลุ่มเอลลาจิแทนนินจากเปลือกผลทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งกว่า 13 ชนิด ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น
ยังมีนักวิจัยที่เรียงแถวหน้ากระดานออกมายืนยันสรรพคุณของทับทิมกันอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นแหล่งวิตามินซี น้ำทับทิม 1 แก้วมีวิตามินซีร้อยละ 40 ของความต้องการของผู้ใหญ่ในหนึ่งวัน รวมไปถึงวิตามินเอ อี และกรมโฟลิกในปริมาณสูง
น้ำทับทิมยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพราะมีสารกลุ่ม โพลีฟีนอล ที่สามารถยับยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระของไขมันที่ไม่ดี หรือ LDL-C, low densitylipoprotein cholesterol) ลดการสร้างโฟมเซลล์และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด และยังมี แอนโทไซยานิน ในปริมาณสูง น้ำทับทิมปริมาณเท่ากับมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเป็น 3 เท่าของไวน์แดงและชาเขียว และสูงกว่าน้ำผลไม้ชนิดอื่น
นอกจากการรับประทานที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี น้ำทับทิมยังมีคุณสมบัติด้านความงาม ใช้น้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชาทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้ผิวหน้าใสเด้งเต่งตึง
สรรพคุณมากมาย กินก็ได้ทาก็ได้ แถมปลูกขึ้นง่าย ถ้าที่บ้านพอมีที่ทาง หามาปลูกไว้สักต้นเสริมมงคลให้ครอบครัวดีอีกด้วย

ป้ายกำกับ: , , ,

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้สมองของคุณ

นักวิจัยได้ค้นพบวิธีการป้องกันความเสื่อมของสมอง โดย พี มูลารี่ โดไรสวามี่ จากมหาวิทยาลัยดุ๊ค สาขาจิตเวชวิทยา กล่าวว่า “ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพสมองคุณถึง 10 ปี หรืออาจมากกว่านั้นเพียงแค่คุณตั้งใจ ใส่ใจและปฏิบัติกับสิ่งที่จะทำในชีวิตประจำวัน ซึ่งมี 12 วิธี ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองคุณให้มีความจำเยี่ยมและยังทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย
1. เต้น เต้นและเต้น
การขยับเขยื้อนสิ่งต่างๆในร่างกายนั้น เป็นการกระตุ้นเซลล์สมอง การเต้นแต่ละครั้งนั้นคุณจะต้องคิดและ ออกแบบท่าทางในการเต้น ว่าส่วนไหนของร่างกายควรจะต้องขยับไปมาตามจังหวะของเพลงให้สัมพันธ์กัน

2. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายนั้นทำให้ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะสร้างรอยหยักของสมองให้มากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้มีความจำดีขึ้น

3. ควรกินไข่บ้าง
ไข่ประกอบด้วยวิตามินบี ซึ่งทำให้เซลล์ประสาทเผาผลาญพลังงานและดึงกลูโคสเข้าสู่ส่วนสมองหลักที่เป็นแหล่งพลังงาน สารต้านอนุมูลอิสระซึ่งปกป้องเส้นประสาทและต่อต้านส่วนสึกหรอ

4. ปรับเปลี่ยน หรือ ตื่นตัว
ลองปรับเปลี่ยนสถานที่ หลีกเลี่ยงเหตุการณ์จำเจ เพื่อให้สมสองคิดตื่นตัวตลอดเวลา ในแต่ละวัน

5. ควรดื่มน้ำผักแผลไม้ 4 แก้วต่ออาทิตย์ ช่วยสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ได้ถึง 76% เพราะว่าในน้ำผักและผลไม้นั้นมีสาร “polyphenols” เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในผักผลไม้ ที่ช่วยปกป้องส่วนที่สึกหรอของเซลล์สมอง

6. หาเวลาว่างเพื่อผ่อนคลาย
หาเวลาว่างผ่อนคลาย โดยเฉพาะการหัวเราะนั้นสามารถช่วยลดสารความเครียดได้ ดังนั้นถ้าหากมีเวลาว่างดูหนังตลกที่ทำให้คุณสามารถหัวเราะออกมาได้

7. หลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ สามารถช่วยให้คุณมีความจำที่ดีขึ้น

8. ควรอยู่ห่างจากหน้าจอทีวี
อย่านั่งหน้าจอทีวีนานเกินไป จากการสำรวจ เมื่อปี 2005 ของกลุ่มบุคคลอายุระหว่าง 40-55 ปี โดยบุคคลกลุ่มเหล่านี้นั่งหน้าจอทีวี นานกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป นั้นมีอัตราการเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ถึง 1.3%

9. กินเครื่องเทศ
เวลาทานข้าวควรโรยเครื่องเทศบนอาหารที่เรารับประทาน เครื่องเช่น โรสแมรี่ ชินม่อน ใบโหระพา และ ใบสะระแหน่ เครื่องเทศเหล่านี้มีพวกกรด “carnosic” ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์
10. เรียนภาษาเพิ่มเติม
เมื่อมีเวลาว่างควรหาเวลาเรียนภาษาที่ 2 เพิ่มเติม เพราะการเรียนภาษานั้นช่วยพัฒนาสมองของเราให้จดจำมากขึ้น เป็นการกระตุ้นระบบประสาทให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ประสาทใหญ่ยิ่งขึ้น

11. หมั่นขัดฟัน
ไม่เพียงแต่สุขภาพในช่องปากไม่ดีเท่านั้น หากเรายังมีคราบหินปูนเหล่านี้เกาะอยู่ตามซอกฟัน ก่อให้เกิดมีแบคทีเรียในช่องปากมาก และแบคทีเรียเหล่านี้จะเข้าสู่เส้นเลือด และกระจายสู่อวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ ตับและปอดได้

12. ดื่มชาเขียว
ดื่มชาเขียว 5 แก้วต่อวัน หรือ มากกว่านั้น ช่วย ให้ป้องกันส่วนที่สึกหรอได้
ฏิบัติกับพียงแค่คุณตั้งใจและรืออาจมากกว่านั้นเพียงแค่คุณตั้งใจและใส่ใจกับสิ่งที่จะทำในชีวิตประจำ

ป้ายกำกับ:

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไตเสื่อม มี 2 ประเภท ไตหยิน และ ไตหยาง

ส่วนอีกลักษณะคือ ไตหยิน หรือ ไตคลาย
- เฉื่อยชา เกียจคร้าน
- ความต้องการทางเพศต่ำลง
- ปวดเมื่อหลัง เอว
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางคืน
- นอนตื่นสาย ไม่อยากตื่น
- อารมณ์อ่อนไหวง่าย
- ขี้หูมาก
- เหงื่อออกเยอะผิดปกติ ตามปกติแล้ว กลางคืน
ไตซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำ หรือ "หยิน" จะทำงานมากกว่ากลางวัน(สังเกตว่าตื่นเช้าเราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับแรก)ดังนั้น เมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย "หยิน" ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิด เช่น ขี้เกียจอยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียวขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น)

การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่มปัจจัยหยินได้แก่
- การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัย รวมทั้ง น้ำแข็ง ไอศกรีม หวานเย็นและอาหารลักษณะนี้
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
- การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
- การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวัน ควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้าง หรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต (ควรเป็นผ้าธรรมชาติ เช่น คอตตอน) และ หาโอกาสออกกำลังกายกลางแจ้งบ้างสำหรับคนนอนห้องแอร์ ควรสวมเสื้อผ้า ห่มผ้าให้อบอุ่น
- การนั่งรถนานๆ โดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น
- นอนไม่เป็นเวลา ทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อย หรือนอนผิดเวลา สำหรับคนที่นอน และ ทำงานผิดเวลาตามหลักวงจรธรรมชาตินั้น กลางวัน คือ เวลาสำหรับ ทำงาน เรียนหนังสือกลางคืน คือ สำหรับพักผ่อน นอนหลับ(หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง)การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้น จะส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย และจิตใจอย่างแน่นอน แม้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่นั่นเพราะ ตัวคุณมี "ทุน" ที่ยังค้ำยันอยู่ แต่ ทุนจะหมดเพราะการใช้ชีวิตที่ผิด

อาหารที่ควรเลือกรับประทานเป็นหลัก ได้แก่
1. ข้าวกล้อง
2. สาหร่ายทะเล
3. ถั่วแดง ผักสด ผลไม้ไม่หวานและ น้ำน้อย
4. เต้าเจี้ยว

หลีกเลี่ยง การใช้ชีวิต ดังนี้
1. การใส่รองเท้าส้นสูง
2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็ง หรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ (เก้าอี้ หรือ เตียง ดีไซน์เก๋ๆ ที่นิยมกันในหมู่คนรุ่นใหม่) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็ง ไม่นุ่ม กำลังดี อย่างที่นอนใยมะพร้าว

การใช้ชีวิตที่ควรปรับเพิ่ม
1. พยายามอย่านั่งหลังงอ
2. อย่านั่งนานๆ หรือ อย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ นึกขึ้นได้ให้ขยับตัว เคลื่อนไหว เปลี่ยนอิริยาบถ ....


อาการไตหยาง หรือ ไตหดตัวแน่น
- นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ
- นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย
- อสุจิเคลื่อนตอนนอน
- เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ โดยมีสาเหตุมาจาก
1.กินรสเค็มจัด หรือ เนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือ พวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อยๆ
2.การทำงาน หรือ การใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ
3.การนั่งทำงานหรือ นั่งรถนาน

ป้ายกำกับ: ,

การแก้ไขโรคไตเสื่อม

การแก้ไขง่ายสุด คือ ปรับพฤติกรรมตัวเอง ทั้ง การนอน การกิน การอยู่ หนึ่งวันมี 24 ชม.
ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง
- ทำงาน 8 ชั่วโมง
- ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยว พักผ่อน ดูทีวี สรรทนาการ ออกกำลังกาย)
- นอน 8 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ผมมีข้อแนะนำ ดังนี้ครับ
1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย: แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดีแต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุล จึงไม่แนะนำให้เล่นต่อ เพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้น อยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ชำนาญซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ (ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับ จะเสียมากกว่าได้)การฝึกโยคะ ไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายในร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ แต่ต้องฝึกอย่างมีวินัย และมีสมาธินอกจากนี้ หากมีฝึก ชี่กง ควบคู่ไปด้วย จะเห็นผลดี และเร็วขึ้นหากรู้สึกว่ายากหรือห่างตัวเกินไป ก็ให้เลือกการว่ายน้ำ โดยว่ายอย่างเบาๆ แต่ต่อเนื่อง ในเวลาที่พอสมควร (เหนื่อยให้หยุดพัก ห้ามฝืนต่อ) คุณไม่ได้ไปแข่งกับใคร คุณกำลังบำบัดตัวเอง
2. ปรับอาหาร: งดเนื้อสัตว์ย่อยยาก วัว หมู ไก่ เป็ด ของเผ็ดของเย็น (ไอศกรีม น้ำแข็ง) ของมัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสด ที่ปรุงน้อย (เช่นสลัด)มากขึ้นทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพด ข้าวกล้อง ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ(ห้ามดื่มน้ำเย็น) และงดเครื่องดื่มของมึนเมา น้ำอัดลม นมน้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง)
3. อยู่ห้องแอร์ให้น้อยลง อยู่หน้าจอคอม จอโทรทัศน์ให้น้อยลง:หาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น(เดินเท้า เปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก)
จะเห็นว่าที่แนะนำไป ดูเบสิคมากเลยใช่มั้ยครับ แต่ทำยากมากเลยนี่ล่ะครับ ผมถึงบอกว่าคนในยุคนี้ป่วยกันมากขึ้น เพราะมีพฤติกรรมทำลายวงจรธรรมชาติของตัวเอง อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าพฤติกรรม หรือความรู้สึก ล้วนสัมพันธ์กับไตไตเหมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของมนุษย์ เป็นผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาล แต่ก็เปราะบางยิ่งนัก และง่ายต่อการแตกร้าววิธีการดูแลรักษาไม่ยากสำหรับคนในยุคก่อน แต่ยากยิ่งสำหรับคนยุคนี้ นั่นคือ "คล้อยตามธรรมชาติ" คนสมัยก่อน ตื่นเช้า นอนแต่หัวค่ำ ทานอาหารสดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯในขณะที่คนยุคนี้ นอนดึกเป็นกิจวัตร (ทำงาน, ดูบอล, ดูโทรทัศน์,เที่ยวกลางคืน) ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลมพึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินความจำเป็น ฯลฯ

ป้ายกำกับ:

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โรคไตเสื่อม

อย่าเข้าใจว่า ขอบตาดำ เกิดจากนอนน้อย นอนดึก เท่านั้น ร่างกายจะมีสัญญาณบอกความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นเสมอแต่เราไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่า ร่างกายต้องการบอกอะไร คนที่ขอบตาดำ พึงระวังไว้ครับ ว่าร่างกายกำลังเตือนว่าไตกำลังจะเสื่อม! ไม่ว่าอายุแค่ไหน หนุ่มสาว หรือ แก่ชราล้วนมีสิทธิไตเสื่อมด้วยกันทั้งนั้น ผมพูดถึงไตเสื่อมนะครับ ไม่ใช่โรคไต

ไตทำหน้าที่กรองของเสียในร่างกายซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆ อย่างของไตจึงสรุปสั้นๆว่า ไตเปรียบเหมือน GM หรือ ผจก. ของร่างกายคนยุคปัจจุบัน ทำร้ายไตตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่ากินอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป (เค็ม-มัน-เผ็ดมาก ฟาสฟู้ด-อาหารสำเร็จรูป–แช่แข็ง-อาหารอุตสาหกรรม ฯลฯ) ร่างกายเสียสมดุล อีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้องนอนน้อยเกิน นอนมากเกิน นอนไม่เป็นเวลา ไม่ออกกำลังกาย(รวมถึงออกกำลังไม่เหมาะกับสภาพร่างกายตัวเอง)เครียดมาก กดดันมาก รีบเร่งมาก ฯลฯ
คนยุคปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะไตเสื่อมมากขึ้นและให้สังเกตร่างกายตัวเองดังต่อไปนี้
1. อ่อนเพลียบ่อย ขาดความกระตือรือร้น
2. นอนไม่ค่อยหลับ หรือ หลับไม่สนิท
3. ปัสสาวะบ่อย หรือ กะปริดกะปรอย
4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม ขี้วิตกกังวล
7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8. ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย
จริงๆมีเยอะกว่านี้ เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการแบบนี้ทั้งหมด แต่โดยรวมแล้วมีปรากฏให้เห็นกับตัวเอง

อะไรบ้างที่ทำให้ไตเราเสื่อม
1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล: น้อยไปไม่พอ ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ
2. เพศสัมพันธ์: มีเพศสัมพันธ์มากเกินควร และหลั่งอสุจิมากเกินควร ทำให้ร่างกายเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ และไตจะอ่อนแอลง
3. การทานยารักษาโรคนานๆ หรือปริมาณที่มาก: ทั้งยาแก้ปวดยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหายแต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่ยังมีอีกเยอะครับ แต่แค่นี้คงครอบคลุมแล้วลองดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีอาการตามที่ว่าหรือไม่
แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/whiteleelawadee

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แอ๊ปเปิ้ลช่วยให้ฟันขาวได้

แอ็ปเปิ้ลที่กรอบ กรุ๊บๆ นั้น เมื่อคุณเคี้ยวแอ๊ปเปิ้ลนั้น มันจะทำหน้าที่เหมือนแปรงสีฟันเลยทีเดียว มันความสะอาดตามธรรมชาติโดยกำจัดคราบหินปูนสกปรกออก
นักทันตแพทย์ของรัฐนิวยอร์คได้กล่าวว่า “แอ๊ปเปิ้ลนั้นมีกรด gentle malic ที่สามารถช่วยละลายคราบหินปูนได้”

แปลบทความจาก : นิตยสารพรีเวนชั่น
โดย : KT

ป้ายกำกับ: , , ,